วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Present Perfect Tense

รูปแบบของ Present Perfect Tense
Subject + has/have + Verb3

หลักการใช้ Present Perfect Tense
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินต่อเนื่องมายังปัจจุบัน 

และมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปได้อีกในอนาคต เช่น 
I have had a lot of toys.

ฉันมีของเล่นมากมาย (และอาจจะมีของเล่นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต)

2.    ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้ว 
แต่ยังส่งผลมายังปัจจุบัน เช่น
It has stopped raining.

ฝนหยุดตกแล้ว (แต่ถนนยังเปียกอยู่)

3.    ใช้พูดถึง เหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน 
ในช่วงเวลาหนึ่งระหว่างอดีตและปัจจุบัน 

โดยมักใช้คำว่า many/several times, a lot of times, …times, 
again and again, over and over และอื่นๆ เช่น
 I’ve read this book more than 3 times. 

(ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้มามากกว่าสามรอบแล้ว) 

4.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ เพิ่งสิ้นสุดลง โดยไม่ระบุเวลา 
ซึ่งมักใช้กับ just, already และ yet
yet มักใช้ในประโยคปฏิเสธ 
ส่วน just และ already นั้นมักจะใช้กันในประโยคบอกเล่า 

โดยวางไว้อยู่หน้ากริยาหลัก เช่น
I haven’t finished my homework yet. 
(ฉันยังทำการบ้านของฉันไม่เสร็จเลย)

I have just finished my home work. 
(ฉันเพิ่งทำการบ้านของฉันเสร็จ)

  I’ve already finished my homework. 
(ฉันทำการบ้านของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
      
 หากเราระบุเวลาลงไป ประโยคจะต้องใช้ Past Simple Tense เท่านั้น 
ไม่สามารถใช้ Present Perfect Tense ได้ เช่น
I finished my homework at 7 o’clock. 
(ฉันทำการบ้านเสร็จแล้วตอนเจ็ดโมงเช้า)

5.    ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งมักใช้กับ just, recently, lately และอื่นๆ
The meeting has just started. (การประชุมเพิ่งจะเริ่มขึ้น)
Have you seen him lately? (คุณได้เจอเขาเมื่อเร็วๆนี้บ้างไหม)

6.    ใช้กับ since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา)

I have been here since I was about 15 years old.
ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่อายุ 15 (ปัจจุบันฉันก็ยังคงอยู่ที่นี่)

I have had a fever for almost a week.
ฉันเป็นไข้มาประมาณอาทิตย์หนึ่งได้แล้ว 
(ปัจจุบันฉันก็ยังคงเป็นไข้อยู่เช่นเดิม)




วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์
ธรรมะว่าด้วยความซื่อสัตย์ก็มีลักษณะเหมือนธรรมะข้ออื่น  คือต้องทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยเริ่มต้นที่ตนเองก่อน  คนถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองแล้ว  โดยมักคิดว่าถ้าตนเองทำอะไรผิดแล้วปกปิดไว้มิให้คนอื่นล่วงรู้ในสิ่งที่ตนทำ  โดยมักจะคิดว่าถ้าไม่บอกว่าเราทำอะไรผิดบ้างคนอื่นก็จะไม่รู้  นี่คือความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง  การทำให้ตนมีความซื่อสัตย์อย่างแท้จริงนั้นเป็นเรื่องยาก  คนที่จะมีความซื่อสัตย์ได้นั้นต้องมีความจริงใจต่อตนเอง  ถ้าจะให้ดีคือต้องกล้าประจานความชั่วที่ตนมีต่อหน้าผู้อื่น  คนฟังยิ่งมากยิ่งดี  ถ้าเราทำได้รับรองว่าเราจะมีความซื่อสัตย์แน่นอน  แต่ถ้าทำไม่ได้ผู้เขียนก็ไม่รู้ว่าจะเอาความซื่อสัตย์ต่อตนเองมาจากไหน  เมื่อเราไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองก็ไม่สามารถซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นและส่วนรวมได้เลย

ที่มา :: คลิ๊กๆ